Cool Blue Outer Glow Pointer
 

เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปรวบยอดมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมทั้งนำภาพประกอบความเข้าใจ มาให้ดูด้วยเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น

พระราชดำรัส " เศรษฐกิจพอเพียง "

" ...การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง......"

การจำแนกเครฟิชสาย C หรือกุ้งก้ามแดงออสเตรเลีย

กุ้งเรนโบว์(ไทย) หรือ Redclaw Clayfish(สามัญ) ชื่อวิทยาศาสตร์: Cherax quadricarinatus' เป็นกุ้งสายพันธุ์แรกที่นำเข้ามาในไทย

กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย

"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี"

โดยลักษณะเด่นที่สุด ของ กุ้งก้ามแดง หรือ ล็อบเตอร์น้ำจืด มีนิสัย ทั้ง อีด ทน กินได้ทุกอย่าง เกลียดอย่างเดียวคือ “สารเคมี” เท่านั้น….

10/17/2559

พระราชดำรัส " เศรษฐกิจพอเพียง "



" ...การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง......"

พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540


“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม
ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”
(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : จากวารสารชัยพัฒนา)

“เศรษฐกิจพอเพียงแปลว่า Sufficiency Economy
คำว่า Sufficiency Economy นี้ ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ. จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่
Sufficiency Economy นั้น ไม่มีในตำรา เพราะหมายความว่าเรามีความคิดใหม่…และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า เราก็สามารถที่จะไปปรับปรุง หรือไปใช้หลักการ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น”
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒)

พระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็น ปรัชญา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี พระราชดำรัส ชี้แนะ แนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาจากพระราชดำรัส ซึ่งพระราชทานแก่คณะผู้แทนสมาคม องค์การเกี่ยวกับศาสนา ครู นักเรียนโรงเรียนต่างๆนักศึกษามหาวิทยาลัยในโอกาส เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที่ 4 ธันวาคม 2517 ดังความตอนหนึ่งว่า 


"...คนอื่นจะว่าอย่างไร ก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัยว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่ไร พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบและทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบเปรียบเทียบกับ ประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษา ความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้ ประเทศต่างๆในโลกนี้กำลังตก กำลังแย่ กำลังยุ่ง เพราะแสวงหาความยิ่งยวด ทั้งในอำนาจ ทั้งในความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ทางอุตสาหกรรม ทางลัทธิ ฉะนั้น ถ้าทุกท่านซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดและมีอิทธิพล มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่นซึ่งมีความคิดเหมือนกัน ช่วยกันรักษาส่วนรวมให้อยู่ดีกินดีพอสมควร ขอย้ำ พอควร พออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวร ที่จะมีคุณค่าอยู่ตลอดกาล..."

และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ประกอบกับพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2540 ดังความว่า 


"....ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง อันนี้ก็เคยบอกว่าความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่ง บางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ขาย ในที่ไม่ห่าง ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่างๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยคนอื่นเขาต้อง มีการเศรษฐกิจ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเป็น เศรษฐกิจการค้าไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้...."
Share:

เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข


เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปรวบยอดมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมทั้งนำภาพประกอบความเข้าใจ มาให้ดูด้วยเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ซึ่ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข นั้น แท้จริงแล้ว เป็นบทสรุปของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง คือสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

รูปภาพเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข


3 ห่วง คือทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้
  • ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดยต้องไม่เบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่นให้เดือดร้อน
  • ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
  • ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่

เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้ คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ วิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรมประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

นั่นคือสรุปรวบยอดของ เศรษฐกิจพอเพียง สรุปได้เป็น 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวมา หลายๆคนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ แล้วคงกระจ่างกันสักที เกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียงแบบ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น

ที่มา : http://เศรษฐกิจพอเพียง.net/


Share:

8/18/2559

การเตรียมบ่อหรือสถานที่เลี้ยงกุ้งก้ามแดง



น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งก้ามแดง
     น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งก้ามแดงอาจจะเป็นน้ําดื่ม น้ำบาดาล น้ำประปา ก็ได้ ถ้าเป้นน้ำประปาควรมีการพักน้ำเสียก่อน คือการเปิดน้ําทิ้งไว้ สัก 5-7 วันเพื่อที่จะให้ คลอรีนเจอจางไปเสียก่อน เพราะกุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งที่ไวต่อสารเคมี ถ้ามีสารเคมีเพียงนิดเดียวก็สามารถทําให้ตายได้การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงนั้น สามารถเลี้ยงได้ ทั้งในบ่อดิน บ่อปูน กะละมัง ถัง ตู้กระจก บ่อผ้าใบ บ่อพลาสติก ในขวด ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละท่าน ซึ่งจะสามารถเตรียมได้เป็น 3 กรณี

1. บ่อดิน บ่อดินเป็นบ่อเลี้ยงที่ใช้พื้นที่มาก จึงต้องเตรียม บ่อให้ดี เริ่มได้จาก
- ขั้นตอนแรกควรจัดการกับศัตรูของลูกกุ้งให้ดีเช่น ปลา ปู หอย เป็นต้น ห้ามมีเป็นอันขาดไม่งั้นอาจจะเกิดการสูญเสียได้
- ขั้นตอนต่อไปอาจจะปูขอบบ่อด้วยพลาสติกกันน้ํากัดเซาะ
- ล้อมขอบบ่อด้วยตาข่ายเพื่อกันกุ้งหลบหนี
- ปล่อยน้ําเข้าไปพร้อมใส่พวกสถานที่หลบให้กุ้งเช่นก้านมะพร้าว ท่อ PVC ขวดน้ําพลาสติกตัดหัวท้าย ใส่ลงไปเยอะๆเลย ยิ่งรก ยิ่งรอดพร้อมปล่อยกุ้งลงเลี้ยงได้เลย
*** บ่อดินไม่ต้องเปลี่ยนน้ํา สามารถเลี้ยงไปตลอดจนจับขาย แต่จะได้เติมน้ําเข้าอยู่ตลอดเพราะน้ํามีการระเหย


2. บ่อปูน (กลม),บ่อที่ทําจากซีเมนเป็นบ่อเลี้ยงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะทนทานใช้พื้นที่ไม่มากนักง่ายต่อการเก็บผลผลิต แต่วิธีการเตรียมบ่อก่อนเลี้ยงกุ้งนั้นใช้ระยะเวลานานพอสมควร เนื่องจากปูนมีฤทธิ์เป็นด้างแก่ จึงไม่เหมาะสมกับการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง มีวิธีการเตรียมบ่อดังนี้
- ขั้นตอนแรกควรปิดรอยรั่วบริเวณข้อต่อเสียก่อน
- จากนั้น เติมน้ําให้เต็มบ่อ พร้อมกับใส่ต้นกล้วยลงไป
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ถ้าสังเกตเห็นลูกน้ําอยู่ในบ่อก็แปลว่าบ่อนั้นใช้เลี้ยงกุ้งได้แล้ว
***ข้อควรระวัง บ่อปูน เมื่อระยะเวลาผ่านไป ปูนจะคลายความเป็นด่างออกมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนน้ําใหม่ทุกๆ 7-10 วัน 




***ข้อควรระวังควรปิดปากบ่อให้ดี มิเช่นนั้นกุ้งจะสามารถปินออกได้***

เลี้ยงในขวด
เลี้ยงในกระชัง
เลี้ยงในนาข้าว
  สําหรับพื้นที่ที่ดินเก็บน้ําไม่อยู่ ขอแนะนําบ่อพลาสติกแล้วถมด้วยดิน โดยเริ่มจากขุดดินให้ลึกสัก 50-60 ซม.แล้วถมด้วยดิน ความลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วก็อาจจะใส่พืชน้ํา เช่น จอก แหน สาหร่าย ลงไปเพื่อช่วยในการบําบัดน้ําเสีย ก็ได้ เพียงเท่านี้ก็ คุณสมบัติของบ่อก็ใกล้เคียงกับบ่อดินแล้ว



ขอบคุณที่มา : crayfishfarmth





Share:

8/03/2559

มาทำความรู้จักกับกุ้งก้ามแดง

สีสันหลากหลายแต่ที่นิยมมากจะเป็นสีนี้
ถ้าพูดถึงอาหารที่จะมาจากแม่น้ำหรือว่ามาจากทะเลแล้วทุกคนต้องจะนึกถึงปลา และ กุ้ง ซึ่งวันนี้ผมจะมาแนะนำ อาชีพเกษตรกรรม ที่สบายทำงานในร่มไม่ต้องตากแดดให้ตัวดำและยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่กำลัง เป็นที่ต้องการของตลาดได้อีกเพราะว่าความนิยมในการกิน กุ้งก้ามแดง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กุ้งเครฟิช มีอยู่ทั่วโลก โดยเราจะคุ้นหูคำว่ากุ้งล็อปเตอร์ นั้นเอง ซึ่งประเทศที่สามารถส่งออกไปได้ก็คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย นอกจาก 3 แห่งนี้ ร้านอาหารทั่วโลกก็ยังมีเมนูอาหารนี้ด้วยเช่นกัน ผมพูดอย่างนี้พอจะเห็นภาพกว้างๆของตลาด กุ้งก้ามแดง แล้วใช่ไหมครับงั้นไปดูดีกว่าครับว่าเขาเลี้ยงกันอย่างไร


กุ้งก้ามแดงเมื่อมาทำเป็นอาหาร
กุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งเครฟิช มีถิ่นกำเนิดมาจาก ออสเตรเลีย เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาด 12 นิ้วอายุเฉลี่ยโดย 4ปี ในธรรมชาติ และ 2-3 ปี เมื่อเลี้ยงในตู้กระจก อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยง 25-28 องศา โดยผู้ที่นำกุ้งชนิดนี้มาเลี้ยงเป็นคนแรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเล็งเห็นความต้องการของตลาด ทรงทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารก่อน ลักษณะในการเจริญเติบโตของกุ้งก้ามแดงนี้จะเป็นกุ้งที่โตเร็วและมีขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นของกุ้มก้ามแดงคือ มีสีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งด้วยสีสันที่มีมากมายนั้นเองเลยทำให้ตลาดของกุ้งก้ามแดงนี้มีอยู่ 2 ตลาดด้วยกันคือตลาดอาหารและตลาดการเลี้ยงเพื่อสวยงามนั่นเอง
ด้วยสีสันที่หลากหลายของกุ้งเครฟิช ทำให้เป็นที่สนใจของผู้เลี้ยงสัตว์น้ำสวยงาม

การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง


เลี้ยงในบ่อ ปูน

          ควรเตรียมบ่อที่จะเลี้ยงด้วยการเติมน้ำเข้าไปประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร หลังจากนั้นก็เติมเหลือแกงลงไปในอัตราส่วนเติมเกลือ อัตราน้ำ 1000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม หลังจากนั้นอย่าพึ่งปล่อย กุ้งก้ามแดง ลงให้ทำการปั้มอากาศหรือเติมอากาศให้กับบ่อที่เตรียมน้ำไว้ซักประมาณ 5 -6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแล้วค่อยนำกุ้งลงปล่อย การปล่อยกุ้งนั่นอย่าปล่อยเยอะเกินไปเพราะกุ้งชนิดนี้มีนิสัยห่วงถิ่นและ อาณาเขตอย่างมาก เพราะถ้าอยู่ในจำนวนเยอะเกินไปจะมีการกินกันได้ อาหารของกุ้งก้ามแดงนั้นสามารถหาได้ทั่วไปเพราะกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งผักและ เนื้อ ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกกุ้งฝอยจะดีมากแต่การให้อาหารแต่ละครั้งควรให้ในปริมาณ ที่พอดีในการกินอาหารของกุ้งด้วยเพราะถ้าให้มากเกินไปกุ้งอาจจะมีลักษณะหัว ที่แตกเหมือนกับลอกคราบก็ได้เช่นกัน สิ่งสำคัญควรรักษาอุณหภูมิน้ำให้อยู่ประมาณ 20 -30 องศาเซลเซียส และเปลี่ยนน้ำทุก ๆ 2 สัปดาห์ แต่และการเปลี่ยนน้ำแต่ละครั้งไม่ควรที่จะเปลี่ยนน้ำเก่าจนหมดเพราะอาจจะทำ ให้กุ้งน็อคน้ำได้


ลูกกุ้งก้ามแดงน่ารัก ๆ
                การขยายพันธุ์ กุ้งก้ามแดง นั้นทำได้ไม่ยากเพียงนำตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 3 ตัวมาไว้ในบ่อเดียวกันซึ่งการผสมพันธุ์จะใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นก็นำตัวเมียออกมาไว้ในบ่ออนุบาล รอเวลาในการฟักไข่จนเป็นตัวก็ประมาณ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิสภาพน้ำด้วยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaiarcheep.com




Share:

วิธีดูเพศกุ้งก้ามแดง


กุ้งก้ามแดงเพศผู้ จะมีถุงน้ําสีแดงบริเวณข้างก้ามทั้ง2 ข้างและเพศผู้ตําแหน่งอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ที่โคนขาคู่สุดท้ายอาจจะสังเกตุความแตกต่างได้ยากสักหน่อยนะครับ หากกุ้งมีขนาด3นิ้วขึ้นไปก็จะดูง่ายขึ้น


กุ้งก้ามแดงเพศเมีย จะไม่มีถุงน้ําบริเวณก้าม ก้ามจะเรียว และอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศเมียจะอยู่บริเวณโคนขาคู่ที่3 (นับจากขาคู่หลังขึ้นมา)



ที่มา : crayfishfarmth
Share:

7/22/2559

อาหารกุ้งก้ามแดง


อาหารกุ้งก้ามแดง

กุ้งก้ามแดงสามารถกินอาหารได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นอาหารเม็ดสําเร็จรูป พืชน้ำ ปลาสับ กุ้งฝอยหรือไส้เดือน โดยการให้อาหารจะให้วันละ 1 มื้อในช่วงเย็นเพราะในเวลากลางวันกุ้งจะหลบอยู่ในที่หลบ แล้วจะออกมาหากินในเวลากลางคืน

อาหารหารเม็ดสําเร็จรูป จะมีหลายแบบ หลายยี่ห้อ โดยส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นอาหารกุ้งก้ามกราม อาหารกุ้งขาว บางที่ที่มีอุปกรณ์ก็อาจจะผลิตอาหารเองส่วนประกอบโดยหลักๆก็จะเป็นปลาป่น อาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก้ามแดงก็จะแบ่งออกเป็นขนาด ดังนี้
- อาหารเกล็ดเบอร์ 1 เหมาะสําหรับลูกกุ้งลงเดิน-1 นิ้ว 
- อาหารกุ้งเบอร์ 3  เหมาะสําหรับลูกกุ้ง 1 นิ้ว-3 นิ้ว
- อาหารกุ้งเบอร์ 4 เหมาะสําหรับลูกกุ้ง 3 นิ้วขึ้นไป



อาหารสดจากธรรมชาติ มีดังนี้
- ไส้เดือน แหล่งโปรตีนชั้นดีเหมาะสําหรับ กุ้งแม่ไข่ จะช่วยให้แม่ไข่ได้ไข่ที่มีคุณภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไข่ไม่ฝ่อ



- กุ้งฝอย



- เนื้อปลา เนื้อหมู สับ



- กระดองปลาหมึก แหล่งแคลเซียมชั้นดี


- จอก แหน สาหราย พืชน้ำช่วยบําบัดน้ำไม่ให้เสียง่าย เป็นที่หลบแดดของกุ้ง และยังเป็นอาหารว่างไว้แทะเล่นอีกด้วย



เครดิต :  http://crayfishfarmth.blogspot.com/




Share:

"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี"


"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี" อีกหนึ่งทางเลือกเพิ่มรายได้เกษตรอินทรีย์


โดยลักษณะเด่นที่สุด ของ  กุ้งก้ามแดง หรือ ล็อบเตอร์น้ำจืด มีนิสัย ทั้ง อีด ทน กินได้ทุกอย่าง เกลียดอย่างเดียวคือ “สารเคมี” เท่านั้น….เพราะถ้าเจอสารเคมีเมื่อไหร่ตายทันที เห็นแบบนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ทำเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก เพราะกุ้งก้ามแดงกินทุกอย่าง และชอบมาก คือ ไส้เดือน หอยขม ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ชาวเกษตรอินทรีย์น่าจะเลี้ยงไว้ทั้งสิ้น และสามารถต่อยอดด้วยการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้เลย

ประวัติคร่าวๆของ กุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด หรือ กุ้งเครย์ฟิช หรือ กุ้งก้ามแดง เป็นกุ้งเนื้อ นั้น โครงการหลวง ได้เริ่มทดลองเลี้ยง ตั้งแต่ปี 2548 โดยนำมาจากออสเตรเลีย นำมาทดลองเลี้ยงในนาข้าวของเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งปลูกข้าวกินเอง ผลการทดลองพบว่า กุ้งเจริญเติบโตได้ดี มีอัตราการรอดสูง ไม่ทำลายต้นข้าว เพราะกุ้งก้ามแดงกินพืชและตายแล้ว และมูลของกุ้ง ยังช่วยทำให้ต้นข้าวเติบโตและมีผลผลิตที่ดี


รายละเอียดจากการบรรยายมีเยอะมาก ซึ่งทีม ProgressTH ขอสรุปย่อๆ เพื่อให้เห็นภาพเบื้องต้นดังนี้
  •  กุ้งก้ามแดง มีบุคลิกที่เด่นเป็นพิเศษ คือ เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย ชอบความสงบ การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ต้องเลี้ยงแบบใส่ใจแต่ต้องทำแบบห่างๆ คือไม่ต้องไปรบกวนกุ้งมากนัก ยกเว้นช่วงที่มีจะมีการลอกคราบ ต้องมีการเปลี่ยนน้ำเพื่อกระตุ้นการลอกคราบ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณวันพระ (8,15 ค่ำ) ซึ่งสำคัญมาก  เพราะการลอกคราบหมายถึงการเจริญเติบโต โดยกุ้งจะลอกคราบจะมีในทุกอวัยวะ ยกเว้น “ตา”   ดังนั้น หากเมื่อไหร่ที่พบว่า กุ้งลอกคราบพร้อมมี “ตา” ติดมาด้วย แปลว่า กุ้งของท่านตายแล้ว 
  •  ควรให้อาหารกุ้งตอนหัวค่ำ เพราะกุ้งหากินตอนกลางคืน แต่สำหรับกุ้งก้ามแดง เราสามารถฝึกได้ โดยสามารถให้อาหารตอนกลางวัน เพราะกินมากก็อ้วนเร็วขึ้น แต่ต้องไม่มากและไม่น้อยไป เพราะถ้าน้ำเน่าเสียเมื่อไหร่ น้องกุ้งที่เลี้ยงไว้ และเริ่มตายทันที #แพ้น้ำเสีย #น้ำเน่า และสารเคมี
  •  กุ้งก้ามแดงต้องการพื้นที่ เพราะฉะนั้น พื้นที่เลี้ยงต้องไม่แออัด และมีที่หลบซ่อน อย่าปล่อยให้หิว เพราะอาจจะเกิดโศกนาฎกรรมกุ้งกินกันได้ ถ้าไม่ระวังจะเหลือตัวที่แข็งแรงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งในกรณีสามารถนำไปเป็น พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ได้ เพราะถ้าพ่อแม่แข็งแรงตัวใหญ่ ลูกกุ้งก็จะแข็งแรงเช่นกัน 


  • ที่ชอบที่สุด คือ ล็อบสเตอร์น้ำจืด กินอาหารได้ทุกชนิด โดยธรรมชาติจะกิน อาหารประเภทพืชผัก รากไม้ ใบไม้ ผู้เลี้ยงสามารถให้ มะละกอ กล้วย ถั่วลันเตา ฟักทอง แอปเปิ้ลได้ รวมถึงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ไส้เดือน หอยต่างๆ และถ้าจะเลี้ยงเป็นฟาร์มก็สามารถให้อาหารสำเร็จรูปได้ ถ้าเลี้ยงอย่างจริงจัง 3 เดือนก็สามารถจับขายได้ ตัวขนาด 6- 8 นิ้ว ในขณะที่ตัวเต็มวัยที่เหมาะต่อการผสมพันธุ์คือ 6-7 เดือน 
  • อย่างไรก็ตามไส้เดือนอาหารชนิดหนึ่งที่กุ้งชอบมาก เพราะฉะนั้น ใครที่ทำเกษตรอินทรีย์ หรือใครที่เลี้ยงไส้เดือนไว้ ควรขีดเส้นใต้ไว้เลย ว่าเราสามารถเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้ โดยควรเริ่มทดลองเลี้ยงจากจำนวนๆน้อยๆ อาจจะเลี้ยงในกะละมัง กระถาง ก่อนก็ได้เพื่อคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์เอง ที่สำคัญจะทำให้เรารู้จักนิสัยของกุ้งชนิดนี้ด้วย เพราะในความเงียบที่กุ้งก้ามแดงชอบหลบซ่อน 
  • แต่ในขณะเดียวกันก็มีนิสัยหวงถิ่น ถ้ามีใครมายุ่มย่ามจะกัดกันทันที เพราะมีกล้ามโตเป็นอาวุธจึงไม่มีใครกลัวใคร ด้วยความเป็นกุ้งที่อึดอยู่ในทุกสภาพแวดล้อมได้ ยกเว้น พื้นที่มีสารเคมีเท่านั้น กุ้งก้ามแดงมักจะซนและซ่า ถ้าได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ โดยกุ้งก้ามแดงจะชอบปีนขอบสระมาก ถ้าเพื่อนตัวไหนหลุดออกไปได้ เดอะแก๊งส์ทั้งหมดก็จะทยอยหนีไปเที่ยวเช่นกัน ถ้าไม่ระวังๆดีหรือทำบ่อให้ปลอดภัย ตื่นเช้ามากุ้งอาจจะหายหมดบ่อก็ได้


ทั้งนี้มีตัวอย่างเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงกุ้มก้ามแดง ผสมกับการทำเกษตรอินทรีย์ โดยคุณลุง ประทีป มายิ้ม เกษตรกรเจ้าของ ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่แค่ 1 ไร่ ปีหนึ่งๆทำเงินได้หลายแสนด้วยหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เต็มที่ โดยคุณลุงได้แบ่งที่ดินทำบ่อเนื้อที่ประมาณ 11 ตารางวา ก่ออิฐทำเป็นบ่อเลี้ยง 4 กุ้ง 3 ปลา 2 หอย...4 กุ้ง = กุ้งก้ามแดง-กุ้งก้ามกราม-กุ้งแม่น้ำ-กุ้งฝอย ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1 พันตัว...3 ปลา = ปลานิล-ปลาตะเพียน-ปลาคาร์พ...2 หอย = หอยขม-หอยโข่ง พื้นบ่อเป็นดินเพื่อจะได้ผสมพันธุ์ออกลูกได้ เลี้ยงกันแบบธรรมชาติ โดยใช้แหน สาหร่าย ผักกระเฉด ผักบุ้ง พร้อมกับปลูกข้าวไม่หวังเก็บเกี่ยวไปขาย ต้องการแค่ให้ใบร่วงไปเป็นอาหารสัตว์น้ำเท่านั้นเอง 1 ปี จะได้กุ้งก้ามแดงให้จับขายประมาณ 1.5 แสนบาท...


กุ้งก้ามกราม ปีหนึ่งจับได้ 2 หน เป็นเงิน 14,000 บาท...กุ้งแม่น้ำได้ปีละหน 2,400 บาท...จับขายเฉพาะตัวใหญ่ ตัวเล็กเก็บไว้เลี้ยงต่อ โตขึ้นได้ขนาดเมื่อไรถึงขาย แถมยังได้มีโอกาสปล่อยให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานให้เราเลี้ยงไปขายได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ส่วนเรื่องการตลาดนั้น ทางเครือข่ายฯ ผู้เลี้ยงกุ้งแจ้งว่ามีตลาดรับไม่อั้น เพราะปัญหาทุกวันนี้คือ ยังไม่มีเกษตรกรเลี้ยงกุ้งเนื้ออย่างจริง เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้ผู้เลี้ยงจำนวนมาก เลี้ยงเพื่อขยายพันธ์ุ ดังนั้น เรื่องการส่งออก เรื่องการตลาดจึงต้องการผู้ที่สนใจเลี้ยงกุ้งชนิดนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยหากเพื่อนๆ ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน อย่างไร สามารถสอบถามที่แผนกวิชาประมง ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี ได้เลย









ขอบคุณภาพจาก วษท.เพชรบุรี เกษตรจอมพล อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี https://www.facebook.com/pksjompon



Share:

กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)



กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

           กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย กินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาท ทำให้กลายเป็นที่นิยมกว้างขวางขึ้นในหมู่วัยรุ่น

           กุ้งเครย์ฟิช หรือกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด มีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือใต้ขอนไม้ตามหนองน้ำ หรือลำธาร


คุณวิโรจน์ ไชยกิตติรุ่งโรจน์ อายุ 28 ปี ผู้ที่เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์กุ้งเครย์ฟิช กล่าวว่า ขณะนี้มีความนิยมเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในหมู่วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลาสวยงาม ที่กำลังมีความสนใจหันมาเลี้ยงกุ้งกันมากขึ้น เพราะมีความสวยงาม แปลกตา เลี้ยงง่าย ให้ความเพลิดเพลิน ไม่เป็นอันตรายกับผู้เลี้ยง

           "กุ้งเครย์ฟิช ได้รับความนิยมมาหลายเดือนแล้ว โดยมีผู้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น มาเพาะขยายและจำหน่าย กุ้งเครย์ฟิชมีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม แต่ก็มีความคลาสสิค ซึ่งกุ้งแต่ละตัวจะมีสีสันที่โดดเด่นของตัวเอง หากมีการเลี้ยงดูและให้อาหารเป็นอย่างดี จะทำให้กุ้งขับสีในตัวออกมาชัดเจนสวยงามมากขึ้น" คุณวิโรจน์ กล่าว

           กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

           สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้

           ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา

           อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด


           กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

           สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3

           กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง


 ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง

           ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย

           การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวณก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

           "ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันไว้ด้วยกัน เพราะพันธุ์ที่มีนิสัยก้าวร้าว จะจับพันธุ์ที่มีนิสัยเรียบร้อยกว่ากินเป็นอาหาร รวมทั้งควรเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน" คุณวิโรจน์ กล่าว

พร้อมกันนี้ คุณวิโรจน์ ยังบอกอีกว่า ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช รวมกับปลาสวยงามที่อาศัยบริเวณก้นตู้ แต่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาสวยงามขนาดกลางที่ว่ายบริเวณกลางน้ำหรือผิวน้ำได้ เป็นอย่างดี และต้องมีนิสัยไม่ดุร้าย มิฉะนั้น กุ้งเครย์ฟิช อาจกลายเป็นอาหารปลาได้


  กุ้งเครย์ฟิช ที่วัยรุ่นนิยมเลี้ยงคือ กุ้งเครย์ฟิช สโนไวท์ จะเป็นกุ้งสีขาว บลูสปอร์ตเป็นสีฟ้า ไบรต์ออเรนจ์สีส้ม และอะเรนนี่สีน้ำเงิน ราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมีตั้งแต่ 300-2,000 บาท ต่อตัว แต่หากซื้อไปเลี้ยงเป็นคู่ โดยเฉพาะกุ้งเครย์ฟิชสีน้ำเงินหรืออะเรนนี่ จำหน่ายคู่ละ 3,500บาท เพราะสีน้ำเงินเป็นสีที่นิยมและหายากในขณะนี้

           สำหรับผู้อ่านที่สนใจเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช สามารถหาซื้อได้ตามตลาดสัตว์น้ำทั่วไป เมื่อต้องการเลือกซื้อมาเลี้ยงต้องดูความแข็งแรงของตัวกุ้งด้วย หากเห็นว่ากุ้งนั้นไม่ปราดเปรียวหรือเชื่องช้า ก็อย่าเลือกซื้อมาเลี้ยง เพราะเป็นกุ้งที่ไม่แข็งแรง ถ้านำมาเลี้ยง อยู่ได้ไม่นานก็อาจตายได้ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อกุ้งตัวที่มีสีเข้มทั้งตัว ไม่มีอาการเซื่องซึม ก้ามทั้ง 2 ข้าง ต้องเท่ากัน มีขาครบทุกข้าง และที่สำคัญอย่าลืมให้ความรัก ความใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

จาก: http://pet.kapook.com/view1517.html



Share:

เกษตรทฤษฎีใหม่

เกษตรทฤษฎีใหม่