Cool Blue Outer Glow Pointer
 

เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปรวบยอดมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมทั้งนำภาพประกอบความเข้าใจ มาให้ดูด้วยเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น

พระราชดำรัส " เศรษฐกิจพอเพียง "

" ...การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง......"

การจำแนกเครฟิชสาย C หรือกุ้งก้ามแดงออสเตรเลีย

กุ้งเรนโบว์(ไทย) หรือ Redclaw Clayfish(สามัญ) ชื่อวิทยาศาสตร์: Cherax quadricarinatus' เป็นกุ้งสายพันธุ์แรกที่นำเข้ามาในไทย

กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย

"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี"

โดยลักษณะเด่นที่สุด ของ กุ้งก้ามแดง หรือ ล็อบเตอร์น้ำจืด มีนิสัย ทั้ง อีด ทน กินได้ทุกอย่าง เกลียดอย่างเดียวคือ “สารเคมี” เท่านั้น….

7/22/2559

อาหารกุ้งก้ามแดง


อาหารกุ้งก้ามแดง

กุ้งก้ามแดงสามารถกินอาหารได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นอาหารเม็ดสําเร็จรูป พืชน้ำ ปลาสับ กุ้งฝอยหรือไส้เดือน โดยการให้อาหารจะให้วันละ 1 มื้อในช่วงเย็นเพราะในเวลากลางวันกุ้งจะหลบอยู่ในที่หลบ แล้วจะออกมาหากินในเวลากลางคืน

อาหารหารเม็ดสําเร็จรูป จะมีหลายแบบ หลายยี่ห้อ โดยส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นอาหารกุ้งก้ามกราม อาหารกุ้งขาว บางที่ที่มีอุปกรณ์ก็อาจจะผลิตอาหารเองส่วนประกอบโดยหลักๆก็จะเป็นปลาป่น อาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก้ามแดงก็จะแบ่งออกเป็นขนาด ดังนี้
- อาหารเกล็ดเบอร์ 1 เหมาะสําหรับลูกกุ้งลงเดิน-1 นิ้ว 
- อาหารกุ้งเบอร์ 3  เหมาะสําหรับลูกกุ้ง 1 นิ้ว-3 นิ้ว
- อาหารกุ้งเบอร์ 4 เหมาะสําหรับลูกกุ้ง 3 นิ้วขึ้นไป



อาหารสดจากธรรมชาติ มีดังนี้
- ไส้เดือน แหล่งโปรตีนชั้นดีเหมาะสําหรับ กุ้งแม่ไข่ จะช่วยให้แม่ไข่ได้ไข่ที่มีคุณภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไข่ไม่ฝ่อ



- กุ้งฝอย



- เนื้อปลา เนื้อหมู สับ



- กระดองปลาหมึก แหล่งแคลเซียมชั้นดี


- จอก แหน สาหราย พืชน้ำช่วยบําบัดน้ำไม่ให้เสียง่าย เป็นที่หลบแดดของกุ้ง และยังเป็นอาหารว่างไว้แทะเล่นอีกด้วย



เครดิต :  http://crayfishfarmth.blogspot.com/




Share:

"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี"


"กุ้งก้ามแดง" อึด ทน ดี แต่แพ้ "สารเคมี" อีกหนึ่งทางเลือกเพิ่มรายได้เกษตรอินทรีย์


โดยลักษณะเด่นที่สุด ของ  กุ้งก้ามแดง หรือ ล็อบเตอร์น้ำจืด มีนิสัย ทั้ง อีด ทน กินได้ทุกอย่าง เกลียดอย่างเดียวคือ “สารเคมี” เท่านั้น….เพราะถ้าเจอสารเคมีเมื่อไหร่ตายทันที เห็นแบบนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ทำเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก เพราะกุ้งก้ามแดงกินทุกอย่าง และชอบมาก คือ ไส้เดือน หอยขม ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ชาวเกษตรอินทรีย์น่าจะเลี้ยงไว้ทั้งสิ้น และสามารถต่อยอดด้วยการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้เลย

ประวัติคร่าวๆของ กุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด หรือ กุ้งเครย์ฟิช หรือ กุ้งก้ามแดง เป็นกุ้งเนื้อ นั้น โครงการหลวง ได้เริ่มทดลองเลี้ยง ตั้งแต่ปี 2548 โดยนำมาจากออสเตรเลีย นำมาทดลองเลี้ยงในนาข้าวของเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งปลูกข้าวกินเอง ผลการทดลองพบว่า กุ้งเจริญเติบโตได้ดี มีอัตราการรอดสูง ไม่ทำลายต้นข้าว เพราะกุ้งก้ามแดงกินพืชและตายแล้ว และมูลของกุ้ง ยังช่วยทำให้ต้นข้าวเติบโตและมีผลผลิตที่ดี


รายละเอียดจากการบรรยายมีเยอะมาก ซึ่งทีม ProgressTH ขอสรุปย่อๆ เพื่อให้เห็นภาพเบื้องต้นดังนี้
  •  กุ้งก้ามแดง มีบุคลิกที่เด่นเป็นพิเศษ คือ เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย ชอบความสงบ การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ต้องเลี้ยงแบบใส่ใจแต่ต้องทำแบบห่างๆ คือไม่ต้องไปรบกวนกุ้งมากนัก ยกเว้นช่วงที่มีจะมีการลอกคราบ ต้องมีการเปลี่ยนน้ำเพื่อกระตุ้นการลอกคราบ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณวันพระ (8,15 ค่ำ) ซึ่งสำคัญมาก  เพราะการลอกคราบหมายถึงการเจริญเติบโต โดยกุ้งจะลอกคราบจะมีในทุกอวัยวะ ยกเว้น “ตา”   ดังนั้น หากเมื่อไหร่ที่พบว่า กุ้งลอกคราบพร้อมมี “ตา” ติดมาด้วย แปลว่า กุ้งของท่านตายแล้ว 
  •  ควรให้อาหารกุ้งตอนหัวค่ำ เพราะกุ้งหากินตอนกลางคืน แต่สำหรับกุ้งก้ามแดง เราสามารถฝึกได้ โดยสามารถให้อาหารตอนกลางวัน เพราะกินมากก็อ้วนเร็วขึ้น แต่ต้องไม่มากและไม่น้อยไป เพราะถ้าน้ำเน่าเสียเมื่อไหร่ น้องกุ้งที่เลี้ยงไว้ และเริ่มตายทันที #แพ้น้ำเสีย #น้ำเน่า และสารเคมี
  •  กุ้งก้ามแดงต้องการพื้นที่ เพราะฉะนั้น พื้นที่เลี้ยงต้องไม่แออัด และมีที่หลบซ่อน อย่าปล่อยให้หิว เพราะอาจจะเกิดโศกนาฎกรรมกุ้งกินกันได้ ถ้าไม่ระวังจะเหลือตัวที่แข็งแรงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งในกรณีสามารถนำไปเป็น พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ได้ เพราะถ้าพ่อแม่แข็งแรงตัวใหญ่ ลูกกุ้งก็จะแข็งแรงเช่นกัน 


  • ที่ชอบที่สุด คือ ล็อบสเตอร์น้ำจืด กินอาหารได้ทุกชนิด โดยธรรมชาติจะกิน อาหารประเภทพืชผัก รากไม้ ใบไม้ ผู้เลี้ยงสามารถให้ มะละกอ กล้วย ถั่วลันเตา ฟักทอง แอปเปิ้ลได้ รวมถึงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ไส้เดือน หอยต่างๆ และถ้าจะเลี้ยงเป็นฟาร์มก็สามารถให้อาหารสำเร็จรูปได้ ถ้าเลี้ยงอย่างจริงจัง 3 เดือนก็สามารถจับขายได้ ตัวขนาด 6- 8 นิ้ว ในขณะที่ตัวเต็มวัยที่เหมาะต่อการผสมพันธุ์คือ 6-7 เดือน 
  • อย่างไรก็ตามไส้เดือนอาหารชนิดหนึ่งที่กุ้งชอบมาก เพราะฉะนั้น ใครที่ทำเกษตรอินทรีย์ หรือใครที่เลี้ยงไส้เดือนไว้ ควรขีดเส้นใต้ไว้เลย ว่าเราสามารถเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้ โดยควรเริ่มทดลองเลี้ยงจากจำนวนๆน้อยๆ อาจจะเลี้ยงในกะละมัง กระถาง ก่อนก็ได้เพื่อคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์เอง ที่สำคัญจะทำให้เรารู้จักนิสัยของกุ้งชนิดนี้ด้วย เพราะในความเงียบที่กุ้งก้ามแดงชอบหลบซ่อน 
  • แต่ในขณะเดียวกันก็มีนิสัยหวงถิ่น ถ้ามีใครมายุ่มย่ามจะกัดกันทันที เพราะมีกล้ามโตเป็นอาวุธจึงไม่มีใครกลัวใคร ด้วยความเป็นกุ้งที่อึดอยู่ในทุกสภาพแวดล้อมได้ ยกเว้น พื้นที่มีสารเคมีเท่านั้น กุ้งก้ามแดงมักจะซนและซ่า ถ้าได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ โดยกุ้งก้ามแดงจะชอบปีนขอบสระมาก ถ้าเพื่อนตัวไหนหลุดออกไปได้ เดอะแก๊งส์ทั้งหมดก็จะทยอยหนีไปเที่ยวเช่นกัน ถ้าไม่ระวังๆดีหรือทำบ่อให้ปลอดภัย ตื่นเช้ามากุ้งอาจจะหายหมดบ่อก็ได้


ทั้งนี้มีตัวอย่างเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงกุ้มก้ามแดง ผสมกับการทำเกษตรอินทรีย์ โดยคุณลุง ประทีป มายิ้ม เกษตรกรเจ้าของ ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่แค่ 1 ไร่ ปีหนึ่งๆทำเงินได้หลายแสนด้วยหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เต็มที่ โดยคุณลุงได้แบ่งที่ดินทำบ่อเนื้อที่ประมาณ 11 ตารางวา ก่ออิฐทำเป็นบ่อเลี้ยง 4 กุ้ง 3 ปลา 2 หอย...4 กุ้ง = กุ้งก้ามแดง-กุ้งก้ามกราม-กุ้งแม่น้ำ-กุ้งฝอย ปล่อยลูกพันธุ์อย่างละ 1 พันตัว...3 ปลา = ปลานิล-ปลาตะเพียน-ปลาคาร์พ...2 หอย = หอยขม-หอยโข่ง พื้นบ่อเป็นดินเพื่อจะได้ผสมพันธุ์ออกลูกได้ เลี้ยงกันแบบธรรมชาติ โดยใช้แหน สาหร่าย ผักกระเฉด ผักบุ้ง พร้อมกับปลูกข้าวไม่หวังเก็บเกี่ยวไปขาย ต้องการแค่ให้ใบร่วงไปเป็นอาหารสัตว์น้ำเท่านั้นเอง 1 ปี จะได้กุ้งก้ามแดงให้จับขายประมาณ 1.5 แสนบาท...


กุ้งก้ามกราม ปีหนึ่งจับได้ 2 หน เป็นเงิน 14,000 บาท...กุ้งแม่น้ำได้ปีละหน 2,400 บาท...จับขายเฉพาะตัวใหญ่ ตัวเล็กเก็บไว้เลี้ยงต่อ โตขึ้นได้ขนาดเมื่อไรถึงขาย แถมยังได้มีโอกาสปล่อยให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานให้เราเลี้ยงไปขายได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

ส่วนเรื่องการตลาดนั้น ทางเครือข่ายฯ ผู้เลี้ยงกุ้งแจ้งว่ามีตลาดรับไม่อั้น เพราะปัญหาทุกวันนี้คือ ยังไม่มีเกษตรกรเลี้ยงกุ้งเนื้ออย่างจริง เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้ผู้เลี้ยงจำนวนมาก เลี้ยงเพื่อขยายพันธ์ุ ดังนั้น เรื่องการส่งออก เรื่องการตลาดจึงต้องการผู้ที่สนใจเลี้ยงกุ้งชนิดนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยหากเพื่อนๆ ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน อย่างไร สามารถสอบถามที่แผนกวิชาประมง ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี ได้เลย









ขอบคุณภาพจาก วษท.เพชรบุรี เกษตรจอมพล อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี https://www.facebook.com/pksjompon



Share:

กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)



กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

           กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย กินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาท ทำให้กลายเป็นที่นิยมกว้างขวางขึ้นในหมู่วัยรุ่น

           กุ้งเครย์ฟิช หรือกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด มีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือใต้ขอนไม้ตามหนองน้ำ หรือลำธาร


คุณวิโรจน์ ไชยกิตติรุ่งโรจน์ อายุ 28 ปี ผู้ที่เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์กุ้งเครย์ฟิช กล่าวว่า ขณะนี้มีความนิยมเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในหมู่วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลาสวยงาม ที่กำลังมีความสนใจหันมาเลี้ยงกุ้งกันมากขึ้น เพราะมีความสวยงาม แปลกตา เลี้ยงง่าย ให้ความเพลิดเพลิน ไม่เป็นอันตรายกับผู้เลี้ยง

           "กุ้งเครย์ฟิช ได้รับความนิยมมาหลายเดือนแล้ว โดยมีผู้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น มาเพาะขยายและจำหน่าย กุ้งเครย์ฟิชมีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม แต่ก็มีความคลาสสิค ซึ่งกุ้งแต่ละตัวจะมีสีสันที่โดดเด่นของตัวเอง หากมีการเลี้ยงดูและให้อาหารเป็นอย่างดี จะทำให้กุ้งขับสีในตัวออกมาชัดเจนสวยงามมากขึ้น" คุณวิโรจน์ กล่าว

           กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

           สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้

           ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา

           อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด


           กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

           สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3

           กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง


 ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง

           ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย

           การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวณก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

           "ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันไว้ด้วยกัน เพราะพันธุ์ที่มีนิสัยก้าวร้าว จะจับพันธุ์ที่มีนิสัยเรียบร้อยกว่ากินเป็นอาหาร รวมทั้งควรเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน" คุณวิโรจน์ กล่าว

พร้อมกันนี้ คุณวิโรจน์ ยังบอกอีกว่า ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช รวมกับปลาสวยงามที่อาศัยบริเวณก้นตู้ แต่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาสวยงามขนาดกลางที่ว่ายบริเวณกลางน้ำหรือผิวน้ำได้ เป็นอย่างดี และต้องมีนิสัยไม่ดุร้าย มิฉะนั้น กุ้งเครย์ฟิช อาจกลายเป็นอาหารปลาได้


  กุ้งเครย์ฟิช ที่วัยรุ่นนิยมเลี้ยงคือ กุ้งเครย์ฟิช สโนไวท์ จะเป็นกุ้งสีขาว บลูสปอร์ตเป็นสีฟ้า ไบรต์ออเรนจ์สีส้ม และอะเรนนี่สีน้ำเงิน ราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมีตั้งแต่ 300-2,000 บาท ต่อตัว แต่หากซื้อไปเลี้ยงเป็นคู่ โดยเฉพาะกุ้งเครย์ฟิชสีน้ำเงินหรืออะเรนนี่ จำหน่ายคู่ละ 3,500บาท เพราะสีน้ำเงินเป็นสีที่นิยมและหายากในขณะนี้

           สำหรับผู้อ่านที่สนใจเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช สามารถหาซื้อได้ตามตลาดสัตว์น้ำทั่วไป เมื่อต้องการเลือกซื้อมาเลี้ยงต้องดูความแข็งแรงของตัวกุ้งด้วย หากเห็นว่ากุ้งนั้นไม่ปราดเปรียวหรือเชื่องช้า ก็อย่าเลือกซื้อมาเลี้ยง เพราะเป็นกุ้งที่ไม่แข็งแรง ถ้านำมาเลี้ยง อยู่ได้ไม่นานก็อาจตายได้ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อกุ้งตัวที่มีสีเข้มทั้งตัว ไม่มีอาการเซื่องซึม ก้ามทั้ง 2 ข้าง ต้องเท่ากัน มีขาครบทุกข้าง และที่สำคัญอย่าลืมให้ความรัก ความใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

จาก: http://pet.kapook.com/view1517.html



Share:

7/21/2559

การจำแนกเครฟิชสาย C หรือกุ้งก้ามแดงออสเตรเลีย


การจำแนกเครฟิชสาย C หรือกุ้งก้ามแดงออสเตรเลีย

1. ชื่อที่เรียกกัน :กุ้งเรนโบว์(ไทย) หรือ Redclaw Clayfish(สามัญ) ชื่อวิทยาศาสตร์: Cherax quadricarinatus' เป็นกุ้งสายพันธุ์แรกที่นำเข้ามาในไทย
รูปร่างตัวผู้ที่โตแล้วจะมีสีแดงที่ก้ามด้านนอกทั้ง 2 ข้าง มันจึงได้ชื่อว่า Red claw กุ้งเรนโบว์ส่วนมากจะมีสีฟ้ามอมเขียว อย่างไรก็ตามสีของตัวกุ้งเองก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย(กุ้งที่พบใน ธรรมชาติ) มีน้ำหนักในส่วนหางเป็น 25% ของน้ำหนักตัวทั้งหมด กุ้งที่หนักที่สุดที่ถูกค้นพบมีน้ำหนักราวๆครึ่งกิโลกรัม ซึ่งกุ้งส่วนมากที่วางขายอยู่จกมีน้ำหนักประมาณ 50-100 กรัมการขยายพันธ์การสืบพันธ์ของตัวกุ้งจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิน้ำ เมื่ออยู่ในช่วงจับคู่ ตัวผู้จะฉีดน้ำเชื้อเข้าไปที่ด้านล่างลำตัวของตัวเมียบริเวณรยางค์ขา กุ้งตัวเมียจะออกไข่ภายใน 24 ชั่วโมง ไข่จะติดอยู่กับรยางค์ว่ายน้ำบริเวณใต้หาง ตัวเมียจะสลัดไข่ทิ้งหากโดนรบกวนภายใน 48 ชม. หลังจากออกไข่ จำนวนของไข่ใน 1 ครอกขึ้นอยู่กับขนาดของตัวเมีย ซึ่งจะอยู่ที่ราวๆ 200-1,000 ฟอง ที่อุณหภูมิ 24-27 องศา ไข่จะฟักตัวภายใน 10 อาทิตย์ ลูกกุ้งที่เกิดใหม่จะพร้อมผสมพันธ์เมื่ออายุ 12 เดือน
อาหารการกินกุ้งเรนโบว์เป็นพวกกินทั้งเนื้อและพืช ทั้งของสดและของเน่า ลูกกุ้งเป็นนักล่ามือฉมัง ซึ่งจะจับพวกวสิ่งมีชีวิตเล็กๆ กินเป็นอาหาร หากอาหารไม่เพียงพอกุ้งอาจกินกันเองได้ ขอแนะนำให้ใช้อาหารที่ผลิตขึ้นมาเลี้ยงกุ้งโดยเฉพาะ ซึ่งควรมีโปรตีนอย่างต่ำ 15% และมีเนื้อปลาผสมอยู่การเจริญเติบโตกุ้งจะมีน้ำหนักประมาณ 70-80 กรัมเมื่อครบ 1 ปีการคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ควรเลือกตัวที่เจริญเติบโตเร็วที่สุดในรุ่น และหลังจากทำการคัดเลือกพ่อพันธ์แม่พันธ์แล้วก็มาคัดเลือกส่วนที่จะนำมาขาย ส่วนที่เหลือจากขายซึ่งเป็นพวกที่แคระแกร็นหรือผิดปกติควรนำทิ้งไปนิสัยอาจมีการฝังตัวเองบ้างในกุ้งบางตัว ชอบอาศัยตามพืชน้ำหรือวัสดุอื่นๆ กุ้งตัวเต็มวัยจะไม่ดุร้ายใส่กันเอง กุ้งที่เพิ่งลอกคราบอาจโดนกินได้สภาพที่อยู่อาศัยลูกกุ้งจะอยู่รอดได้ที่อุณหภูมิมากกว่า 12-34 องศาเซลเซียส ซึ่งในกุ้งที่โตแล้วอาจทนกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้มากกว่า อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตคือ 23-30 องศาเซลเซียส ในกุ้งที่โตแล้วอาจทนความเค็มของน้ำได้ถึง 20 ppt (ในธรรมชาติ) ส่วนกุ้งที่นำมาเลี้ยงในตู้ไม่ควรมีความเค็มเกิน 5 ppt มีค่า pH ที่ 7–8.5 กุ้งเรนโบว์ชอบความมืด ซึ่งสามารถทำได้โดยใส่วัสดุสำหรับหลบซ่อนลงไปสุขภาพและโรคการติดปรสิตภายนอก(ปรากฏในรูปของเส้นขน) จะเกิดขึ้นในสัตว์ที่มีความเครียด และอยู่น้ำคุณภาพต่ำ โรคหางขาวเป็นโรคที่พบได้เช่นกัน


2. เดสทรัคเตอร์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cherax destructor  ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งวงการกุ้งเครฟิชเลยครับ
แหล่งกำเนิด : Western Australia
ขนาด : 20-30 ซ.ม. (6 นิ้ว)
อุณหภูมิน้ำ : 16-22° C
ค่า pH : 6.5-7.5
อุปนิสัย : ดุและก้าวร้าว
ระดับความยากในการเลี้ยง : ปานกลาง
Cherax destructor หรือ เดสทรัคเตอร์ที่เรารู้จักกัน
ลักษณะร่างกายดูบึกบึน ก้ามใหญ่ อ้วน ฮ่าๆ การเลี้ยงนิยมเลี้ยงแยก เพราะมีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว การเลี้ยงแยก ยังทำให้กุ้งของท่านสวยไม่มีที่ติอีกด้วย สิ่งสำคัญสำหรับสายพันธ์ุนี้ คือ การควบคุมอาหาร เพราะกุ้งสายพันนี้สีมันเปลี่ยนได้ตามอาหารที่ให้กิน ถ้าอยากให้สีมันไม่เปลี่ยน ต้องให้แต่อาหารเดิมๆให้กินตลอด เพราะถ้าเปลี่ยนไปให้อย่างอื่น สีมันจะเปลี่ยน
สูตรทำสีต่างๆของเจ้ากุ้งเดสทรัคเตอร์
สีน้ำเงิน = กินกุ้งฝอยต้ม
สีน้ำตาล = กินสาหร่าย
สีดำ = กินตะใคร่น้ำ
สีขาว = กินอาหารเม็ดสูตรเนื้อปลา/อาหารสำหรับเดสขาว/อาหารกุ้งกุลาดำ


3. อบิดัส หรือ (บลูเพิร์ล) เปรียบเทียบก็คือสาย P เป็นกุ้งนำเข้า คือราชินีแห่งเครฟิชเมืองไทย บลูเพิร์ล จะอยู่ในเหล่าเดียวกับ เดสทัคเตอร์ แตกต่างกันก็คือรูปทรงของก้าม แต่สีก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน กุ้งชนิดนี้ยังไม่มีการเพราะพันธุ์ในไทย จึงมีราคาสูง และเริ่มหายหน้าหายตาไปในวงการกุ้งเครฟิชบ้านเราครับ " กุ้งชนิดนี้จะมีแค่สีน้ำเงิน-และฟ้า จะเปลี่ยนเป็นสีอื่นไม่ได้ "


Share:

สายพันธุ์กุ้งเครฟิช (Crayfish Families)


สายพันธุ์กุ้งเครฟิช (Crayfish Families)

เครฟิชนั้นสามาถแบ่งออกได้เป็น 2วงศ์ใหญ่ๆ ดังนี้

กลุ่มวงศ์ที่ 1 Astacoidea  (หรือที่นิยมเรียกกันว่า กุ้งสาย P ) ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป สามารถแบ่งเป็นวงศ์ย่อยได้อีก 2 วงศ์คือ Astacidae และ Cambaridae โดยในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาเหนือมีการค้นพบเครฟิชมากกว่า 330 ชนิด ใน 9 สกุล ทั้งหมดอยู่ในวงศ์ Cambaridae ส่วนวงศ์ Astacidae พบในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ เครฟิชจำนวนมากพบในที่ราบต่ำที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและออกซิเจนที่ผุดออกมาจากน้ำพุใต้ดิน เครฟิชชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงศ์นี้คือ Procambarus clarkii โดยรวมแล้วเครฟิชในวงศ์นี้ มีรูปร่างใหญ่ ไม่มีกรี มีลักษณะเด่นคือ ก้ามมีหนาม ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร




กลุ่มวงศ์ที่ 2 Parastacoidea  (หรือที่นิยมเรียกกันว่า กุ้งสาย C )ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคโอเชียเนียและอีเรียน จายามีการค้นพบเครฟิชมากกว่า 100 ชนิดในภูมิภาคนี้ เครฟิชที่เป็นที่รู้จักได้แก่สกุล Cherax หรือในบ้านเรานิยมเรียกว่ากุ้งสาย C ได้แก่ Cherax tenuimanus, Cherax quadricarinatus, Cherax destructor, Cherax preissii ฯลฯ เครฟิชในวงศ์นี้ก้ามจะไม่มีหนาม และลักษณะของก้ามจะป่องออกต่างไปจากวงศ์Astacoideaแต่มีที่หนีบสั้นและเล็กกว่า ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30-40 เซนติเมตร





กุ้งม้าลาย Cherax peknyi (Zebra Crayfish)




Share:

7/20/2559

เลี้ยงกุ้งก้ามแดง ทางเลือก..ต้นทุนสุดต่ำ


เลี้ยงกุ้งก้ามแดง ทางเลือก..ต้นทุนสุดต่ำ

ยิ่งรก...ยิ่งรอด

เป็นคำจำกัดความสั้นๆง่ายๆของ นายประทีป มายิ้ม วิทยากรศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีเพื่อการเรียนรู้อย่างยั่งยืน บ้านห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่กล่าวถึงวิธีการเลี้ยง กุ้งก้ามแดงหรือ ล็อบสเตอร์น้ำจืด” ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดที่จะเลี้ยงกุ้งพันธุ์นี้เลย แต่เพราะ 4 ปีก่อน ลูกสาวไปซื้อลูกกุ้งมา 4 ตัว ตัวละ 30 บาท ไม่รู้ว่ามันคือกุ้งอะไร คิดว่าเป็นกุ้งสวยงาม เลยเอามาปล่อยในอ่างเลี้ยงปลาหางนกยูง เลี้ยงแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้ให้อาหารอะไรเลย แต่สังเกตเห็นสาหร่ายหางกระรอกในอ่างเลี้ยงปลาค่อยๆ ลดลง แสดงว่ามันกินเป็นอาหารได้

Share:

เกษตรทฤษฎีใหม่

เกษตรทฤษฎีใหม่